เคล็ดลับผิวขาว และการดูแลผิว

108health_3459

ผิวมือสวยได้ ด้วยเคล็ดลับดีๆ

ผิวมือก็บ่งบอกความสวยหรือความร่วงโรยได้ไม่แพ้ใบหน้า ฉะนั้นอย่าเน้นดูแลเฉพาะใบหน้าเพียงอย่างเดียว

เพื่อให้คุณสาวๆ นั้นสวยตั้งแต่ใบหน้าจนถึงมือของคุณ เรามีเคล็บลับดีๆ ที่ช่วยให้ผิวมือของคุณสาวๆ สวย เนียนนุ่มน่าสัมผัสมาบอกกันค่ะ
อย่าล้างมือบ่อย แน่นอนว่าคุณควรล้างมือบ่อยๆ เพื่อป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 แต่อย่าให้บ่อยเกินความจำเป็น เพราะน้ำจะทำให้มือของคุณแห้งได้
ลดการใช้สบู่ มันจะทำให้ผิวแห้ง เกิดอาการระคายเคือง และร่วงโรยก่อนวัยได้ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างมือแบบที่ช่วยคืนความชุ่มชื้นไปในตัวจะเหมาะกว่า
ทาโลชั่น ทุกครั้งหลังล้างมือ โดยทาในขณะที่ผิวยังชื้นๆ อยู่ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้
ป้องกันแสงแดด คุณควรทาครีมกันแดดเป็นประจำเวลาที่ต้องออกไปนอกบ้าน และถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นก็ควรสวมถุงมือผ้าฝ้ายกันเอาไว้อีกชั้น เวลาที่คุณต้องขับรถไปไหนต่อไหน
ดูแลเล็บ คุณควรทาน้ำมันบนหนังหุ้มเล็บทุกคืน แล้วดันให้กลับเข้าที่หลังอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ วิธีนี้จะช่วยให้คุณไม่ต้องตัดหลังหุ้มเล็บ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ทามอยสเจอไรเซอร์แบบเข้มข้นในตอนกลางคืน เพื่อช่วยคืนความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
ขัดผิวมือ ใช้สครับขัดผิวมือเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพืื่อขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกไป
ล้างเล็บ ล้างยาทาเล็บออกหลังจากทาไปแล้ว 7 วัน แล้วปล่อยให้เล็บเปลือยเปล่าเพื่อเป็นการพักฟื้นซักสองสามวันก่อนทาเล็บใหม่

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : Lisa และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=3459&sub_id=8&ref_main_id=1

วิธีแก้ผมร่วม ด้วยสมุนไพรไทยอย่างน้ำมะกรูด

108health_3406

วิธีแก้ผมร่วม ด้วยสมุนไพรไทยอย่างน้ำมะกรูด

วิธีแก้ผมร่วง สำหรับคุณผู้หญิงที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมที่ร่วงเวลาสระผมบ่อยๆ และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจทำให้คุณเป็นกังวลได้ง่าย

เพราะเส้นผมสำหรับผู้หญิงแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญจริงๆ ดังนั้นถ้าคุณจะต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากเพื่อดูแลเส้นผม เรามีวิธีแก้ผมร่วมดีๆ ที่ได้จากสมุนไพรไทยในบ้านเรามาบอกกันค่ะ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีแก้ผมร่วงตั้งแต่สมัยคุณตา คุณยายยังสาวกันเลยล่ะค่ะ แต่สามารถใช้ได้ผลดีไม่ว่ารุ่นไหนสมัยไหนก็ตาม งั้นเราไปดูเคล็บลับความสวยกันเลยดีกว่าค่ะ

วิธีแก้ผมร่วงด้วยมะกรูดเป็นสมุนไพรที่นิยมใช้กันมาอย่างเนิ่นนานมาแล้วตั้งแต่สมัยรุ่นคุณย่าคุณยายในเรื่องของการนำมะกรูดมาดูแลเส้นผม ซึ่งปัจจุบันก็มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่นำเอามะกรูดเขามาเป็นส่วนผสมหนึ่งในยาสระผมเพราะว่ามะกรูดนั้นมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาในเรื่องของการแก้ผมร่วง แก้คันหนังศีรษะ แถมยังช่วยบำรุงผมให้เงางามอีกด้วย

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะเห็นเจ้ามะกรูดนี้อยู่ในส่วนผสมของแชมพูหลายยี่ห้อ ดังนั้นวันนี้เราจึงขอเอาใจสำหรับสาวๆ ที่ชอบมีปัญหาในเรื่องของผมร่วง ให้กลับมามีเส้นผมที่ดกดำและเงางามอีกครั้ง ซึ่งส่วนผสมและขั้นตอนแก้ผมร่วงก็ง่ายนิดเดียวเท่านั่นเอง

ส่วนผสมของสูตรแก้ผมร่วงด้วยน้ำมะกรูดมีดังต่อไปนี้
มะกรูดจำนวน 3 ผล

สาวๆ อ่านไม่ผิดหรอก เรามีวัตถุดิบที่เราต้องการเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป้นอย่างเดียวที่มีประสิทธิภาพเกินพอเชียวละค่ะ ต่อไปเป็นขั้นตอนในการทำสูตรแก้ผมร่วงด้วยน้ำมะกรูด ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
นำผลมะกรูดที่เตรียมไว้มาย่างไฟให้นิ่ม แต่ก็ควรระวังอย่าให้ไฟแรงจนเกินไปเพราะว่ามะกรูดนั้นจะไหม้ได้
รอให้ผลมะกรูดนั้นนิ่มลงเล็กน้อย จากนั้นให้นำมะกรูดไปผ่าครึ่งแล้วคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดเท่านั้น ใส่ถ้วยเตรียมไว้
หลังจากสระผมตามปกติด้วยแชมพูแล้ว แต่ควรระวังอย่าใช้เล็บเกาหนังศีรษะ เพราะถ้าเทน้ำมะกรูดลงไปแล้วมันจะแสบ
จากนั้นให้นำน้ำมะกรูดที่เตรียมไว้มาชโลมให้ทั่วหนังศีรษะเบาๆ เพื่อให้น้ำมะกรูดนั้นซึมซาบเข้าสู่หนังศีรษะ จากนั้นให้ใช้ปลายนิ้วนวดให้ทั่วประมาณ 2-3 นาทีแล้วทิ้งไว้ ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
เพียงแค่สาวๆ ทำตามสูตรแก้ผมร่วงด้วยน้ำมะกรูดนี้สาวๆ จะพบกับว่าเส้นผมของคุณจะมีสุขภาพที่ดี ดกดำเงางามและไม่แตกปลายอีกด้วย ซึ่งสูตรแก้ผมร่วงด้วยน้ำมะกรูดนี้สามารถทำได้ ประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อผลลัพท์ของผมที่เงางามของคุณค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก :Banlady และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=3406&sub_id=103&ref_main_id=2

ต้นขาใหญ่ ปัญหาใหญ่ของคุณผู้หญิง

108health_2502

สาวๆ สมัยนี้มักมีวิธีการดูแลตัวเอง ตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า เพื่อให้ตัวเองดูดีอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณสาวๆ เลยล่ะค่ะ ยิ่งช่วงนี้แฟชั่นกระโปรงสั้น กางเกงขาสั้นกำลังมาแรง ยิ่งต้องเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง ซึ่งถ้าจะใส่ให้สวยแล้ว การดูแลต้นขาก็เป็นสิ่งสำคัญเชียวล่ะค่ะ

0884
บั้นท้ายใหญ่ หรือสะโพกใหญ่ เกิดจากการรับประทานอาหารของเราในแต่ละวัน ซึ่งถ้าเรารับประทานอาหารที่มีไขมัน แน่นอนว่าไขมันก็จะต้องสะสมแน่นอน แต่ถ้าเราทานอาหารพวกไขมันเข้าไปแล้ว นำไปใช้เป็นพลังงานในแต่ละวัน ให้มากกว่าปริมาณอาหารในแต่ละวันของเรา มันก็คงจะดีใช่ไหมล่ะค่ะ แต่ถ้าคุณสาวๆ ทำแบบนั้นไม่ได้ การเปลี่ยนนิสัยการทานอาหารดูจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุดค่ะ ลองหันมามองอาหารที่มีผัก ผลไม้ เป็นตัวช่วย ร่างกายก็จะไม่มีไขมันสะสม แล้วต้นขาของเราก็จะผอมเพรียวได้แน่นอนค่ะ

0885

ผู้หญิงโดยธรรมชาติแล้วนั้น จะมีไขมันสะสมอยู่ที่ช่วงล่างของร่างกายอยู่แล้ว เพราะผู้หญิงจะต้องปกป้องอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ ดังนั้นหลังจากที่หมดประจำเดือนแล้ว ไขมันจะไปสะสมบริเวณช่วงบน หรือเหนือเอวขึ้นไปเช่นเดียวกับคุณหนุ่มๆ นั้นเอง (ส่วนใหญ่คุณผู้ชายมักจะลงพุงเสียมากกว่า)
กรรมพันธุ์หรือยีน ก็มีส่วนที่จะทำให้ต้นขาของคุณผู้หญิงใหญ่ได้เช่นกันค่ะ เพราะถ้าครอบครัวมีโครงสร้างที่ใหญ่ เช่น สะโพกใหญ่ โครงสร้างกระดูกใหญ่ แน่นอนว่าต้นขาของคุณก็จะต้องใหญ่เป็นธรรมดาค่ะ

0886

ต้องยอมรับว่า สิ่งที่สำคัญของการลดต้นขา ก็คือการรับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งควรทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด
ต้องยอมรับว่า ถ้าคุณมีปัญหาน้ำหนักตัวที่เกินมาตฐาน แน่นอนว่า สิ่งสำคัญจะต้องตั้งใจที่จะลดน้ำหนักโดยการตั้งโปรแกรมให้กับตัวเอง เลือกที่จะทานผักผลไม้ เป็นประจำ ลดอาหารประเภทไขมัน และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
ต้องยอมรักว่า โครงสร้างของเราไม่เหมือนกันในแต่ละคน แต่เราสามารถลดน้ำหนัก และเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
ต้องยอมรับว่า ไขมันที่สะสมบริเวณสะโพกและต้นขาเป็นจำนวนมาก มันจะค่อยๆลดลงไป หากเราเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ และต้องใช้ความอดทนในการลดน้ำหนัก
ต้องยอมรับว่า ในการออกกำลังกายนั้นสามารถทำให้รูปร่างดีได้ เพราะช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น แต่มันไม่สามารถลดไขมันออกจากบริเวณที่ต้องการได้

0887

beautifil leg(1)

ท่าที่ 1 ให้นอนหงายราบกับพื้น เเละให้เหยียดขาทั้งสองข้างให้ตรง และตึง จากนั้นค่อยๆ ยกขาทีละข้างขึ้นในกลางอากาศ นับ 15-30 และสลับขากันทำ หรือจะยกขาทั้ง 2 ข้างกลางอากาศเลยก็ได้ ทำประมาณ 3ครั้ง หรือสามารถเพิ่มจำนวนได้เมื่อเราชินกับการออกกำลังกายแล้ว

ท่าที่ 2 ให้นอนหงาย ยกขาทั้ง 2 ข้าง รวมทั้งสะโพกขึ้น ทำเป็นท่าปั่นจักรยานกลางอากาศประมาณ 200 ครั้ง ท่านี้ก็จะช่วยลดต้นขาได้ค่ะ

สิ่งสำคัญของการออกกำลังกายก็คือการทำสม่ำเสมอ หรือทำเป็นประจำทุกวัน เพิ่มจำนวนการนับตัวเลขให้มากขึ้นเมื่อเราเริ่มที่จะชินกับท่าออกกำลังกายแล้ว ยิ่งทำได้มากแน่นอนว่าก็จะยิ่งเป็นผลดีกับเราน่ะค่ะ แต่จะต้องค่อยๆ เพิ่มจำนวนไปน่ะค่ะ อย่าหักโหมมาก ไม่งั้น ผลดีก็จะกลายเป็นผลเสียได้ค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2502&sub_id=9&ref_main_id=1

คล็ดลับหุ่นสวยด้วยบันได 10 ขั้น

108health_2360

การอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักอาจจะส่งผลต่อร่างกายคุณผู้หญิงได้ ดังนั้นถ้าอยากได้หุ่นสวยๆ เรามีวิธีการรับประทานอาหาร การรักษาหุ่น หรือการลดน้ำหนักมาฝากคุณสาวๆ ที่รักสุขภาพกันค่ะ

แทนที่จะกินมื้อใหญ่วันละ 3 มื้อ ควรเปลี่ยนมากินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อแทน โดยกำหนดช่วงเวลาห่างของแต่ละมื้อให้สั้นลงเรื่อยๆ เพื่อควบคุมความหิว วิธีนี้จะเพิ่มระดับการเผาผลาญในร่างกาย ช่วยให้ไขมันสลายตัวไปเร็วขึ้น

อาหารทุกมื้อต้องมีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตพร้อมหน้าพร้อมตา อย่าให้ขาดสารอาหารตัวใดตัวหนึ่ง มิฉะนั้นร่างกายจะเรียกร้องสารอาหารตัวนั้น ทำให้คุณโหยน้ำตาลหรืออยากกินเนื้อมากผิดปกติ และเมื่อได้กินก็จะกินแบบลืมโลกจนแผนไดเอทพังไม่เป็นท่า นอกจากนี้ไขมันและโปรตีนเป็นอาหารที่ต้องใช้ เวลาในการย่อยนาน คุณจึงอิ่มได้นานจนไม่ต้องทานอะไรระหว่างมื้อ
มีผักทุกมื้อ เพราะไฟเบอร์ในผักช่วยให้หนักท้อง ทำให้เราอิ่มเร็วขึ้น และยังช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุลด้วย

อาหารเช้าคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ เพราะขณะที่เราหลับ ระบบเผาผลาญก็จะหลับไปด้วย ถ้าไม่กระตุ้นด้วยอาหารเช้า ระบบเผาผลาญจะทำงานแบบอืดๆ ไปทั้งวัน ทำให้ร่างกายมีพลังงานตกค้างอีกเพียบและจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันแล้วส่งไปเก็บไว้ในพุงของเรานั่นเอง เห็นหรือยังว่าอาหารเช้าสำคัญแค่ไหน

มื้อกลางวันเป็นสวรรค์ของคนรักความอร่อย และส่วนใหญ่จะกินกับแบบตามใจปาก แต่สำหรับคนรักความผอมอย่างเรา ควรแบ่งมื้อกลางวันออกเป็น 2 มื้อเล็ก โดยให้แต่ละมื้อห่างกัน 3 ชั่วโมง เพื่อยืดเวลาการทำงานของระบบเผาผลาญให้นานขึ้น วิธีนี้ยังมีข้อดีแถมมาอีกอย่างคือมันจะทำให้คุณไม่ค่อยหิวในมื้อเย็น ทีนี้ถึงจะกินแค่สลัดผักก็เอาอยู่แล้วล่ะ

งดทานอาหารหลัง 2 ทุ่ม ที่จริงถ้าทนได้ ไม่ควรทานอาหารทุกอย่างยกเว้นน้ำเปล่า หลัง 6โมงเย็นด้วยซ้ำไป เพราะระบบย่อยต้องใช้เวลาทำงานถึง 4 ชั่วโมง กว่าจะย่อยทุกอย่างในกระเพาะได้หมด ลองเอาเวลาเข้านอนของคุณหารด้วย 4 ชั่วโมงดู ก็จะรู้เองว่าคุณควรจะงดอาหารหลังเวลาเท่าไร แต่ถ้าวันไหน เผลอกินอาหารมื้อพิเศษใกล้เวลานอน อย่าลืมยืดแข้งยืดขาด้วยท่าบริหารง่ายๆ สัก 20 นาที เพื่อช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้เร็วขึ้น

เครื่องดื่มคือน้ำตาลที่เข้าปากเราได้ง่าย เร็ว และมีจำนวนมากที่สุด สาวบางคนไม่เคยนับเลยด้วยซ้ำไปว่าวันนี้ดื่มน้ำหวานเข้าไปกี่แก้วแล้ว ระหว่างที่คุมน้ำหนัก จึงควรจะงดเครื่องดื่มที่พกน้ำตาลมาเพียบอย่างแอลกอฮอล์ ค็อกเทล ไวน์ น้ำอัดลม น้ำปั่น ส่วนน้ำเต้าหู้ซึ่งเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ไม่ควรพลาดนั้น คุณควรจะเตือนคนขายทุกครั้งว่าขอแบบไม่หวาน

วิธีกำหนดปริมาณอาหารอย่างง่ายที่สุด คือ ให้ท่องไว้ว่ากินคาร์โบไฮเดรตได้หนึ่งกำมือ กินโปรตีนได้หนึ่งกำมือ ส่วนผักจะทานเท่าไรก็ได้ ถ้ายังกะไม่ถูกขอแนะนำให้ทานก๋วยเตี๋ยวให้บ่อยที่สุด ส่วนมื้อเย็นก็เปลี่ยนเป็นเกาเหลา แค่นี้คุณก็จะได้สารอาหารครบ แต่ไม่มากกว่าปริมาณที่กำหนดแน่นอน

หาสูตรล้างพิษที่เหมาะกับตัวคุณมาใช้ เช่น ทำน้ำปั่นล้างพิษดื่มเอง น้ำพวกนี้จะช่วยขับสิ่งตกค้างออกจากร่างกาย บำรุงอวัยวะภายในให้แข็งแรง ทำให้สดชื่น แจ่มใส จนไม่รู้สึกว่ากำลังทรมานกับการไดเอทและยังจะกระตุ้นระบบขับถ่าย ซึ่งเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่ทำให้ผอมอีกด้วย

ทานผลไม้ไม่หวานจัดมากๆ ระหว่างวัน อย่างเช่น แอปเปิ้ล กล้วย มะเขือเทศ เพื่อให้หนักท้องจนไม่นึกอยากกินอะไรอีก แต่ต้องอยู่ให้ห่างผลไม้ต้องห้ามอย่าง ทุเรียน ขนุน มะม่วงสุก ลองกอง ลำใย เพราะผลไม้พวกนี้มีน้ำตาลสูงไม่แพ้น้ำหวานแก้วโตๆ เลยทีเดียว

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2360&sub_id=9&ref_main_id=1

สวยไร้สิว ด้วยสมุนไพรไทย

108health_2934

สวยไร้สิว ด้วยสมุนไพรไทย

ถ้าจะพูดถึงคุณประโยชน์ของสมุนไพรในบ้านเรานั้น คงไม่มีใครเถียงใช่ไหมล่ะค่ะว่า การทานสมุนไพรนอกจากจะช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังช่วยให้คุณสาวๆ มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย สมุนไพรวันนี้ที่เรานำมาแนะนำก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลใบหน้าของคุณสาวๆ ให้ไร้สิว ไร้ริ้วรอย และราคาไม่แพง สวยได้ทุกวันด้วยค่ะ
หอมแดง นำมาทุบหรือฝานให้เป็นแว่นบางๆ ใช้ทาบริเวณที่เป็นสิวหรือจุดด่างดำ ทาทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก ใช้เป็นประจำรอยสิวจะจางหายไปค่ะ

กล้วยหอม ก็มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเช่นกัน โดยนำกล้วยหอม 1 ผล ไปปั่นกันน้ำผึ้ง 1ถ้วย นำมาพอกหน้าไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก ทำให้หน้าตาผิวพรรณสดใสและไร้สิวได้

มะนาว เมื่อนำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมไข่ขาว 1 ช้อนชา ตีจนเป็นเนื้อเดียวกัน แต้มที่ตุ่มสิว ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออก เพียงเท่านี้ใบหน้าคุณจะดูสดใส ไร้รอยสิว
สมุนไพรเหล่านี้คงจะหากันไม่ยากใช่ไหมล่ะค่ะ ยังไงก็ลองไปทำตามกันดูน่ะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 195 และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2934&sub_id=85&ref_main_id=1

ลดริ้วรอยรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติ

108health_2906

ลดริ้วรอยรอบดวงตา ด้วยวิธีธรรมชาติ

ริ้วรอยรอบดวงตา มักเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะดวงตา และใบหน้ามันจะแสดงอารมณ์ออกมา ไม่ว่าคุณยิ้ม จะหัวเราะ ดวงตาและใบหน้าของคุณก็มันจะแสดงอารมณ์ก่อนเสมอ แน่นอนว่ายิ่งถ้าคุณมีอายุที่เพิ่มขึ้นและไม่มีการดูแลตัวเอง ริ้วรอยราวนี้ก็จะตามมาแน่นอน วันนี้เรามีวิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ริ้วรอยรอบดวงตาของคุณเป็นเรื่องง่ายๆ ค่ะ

cucumber_slices_woman_face

มาส์กแตงกวาแช่เย็น วิธีนี้สามารถทำได้ทุกวัน หรือ ทุกครั้งที่ต้องการเลยค่ะ เพียงแค่ฝานแตงกวาเป็นแว่นๆ บางๆ แล้วใส่กล่องเล็กๆ แช่ตู้เย็นไว้ จากนั้นนำมาวางบนดวงตา ทิ้งไว้ 15–20นาที ความเย็นของแตงกวาจะช่วยทำให้ความบวมของผิวใต้ตาลดลงค่ะ
นวดผิวรอบ ๆ ดวงตา การนวดเบาๆ ที่รอบๆ ดวงตา รวมไปถึงที่เปลือกตานั้น จะช่วยให้ดวงตารู้สึกผ่อนคลายและลดอาการบวมได้ค่ะ
ควรจะลดการบริโภคเกลือและอาหารรสเค็มลง เพราะความเค็มของเกลือจะดูดน้ำออกจากระบบต่างๆ ของร่างกาย ทำให้ระบบภายใจขาดน้ำ เป็นเหตุทำให้ใต้ตาบวมตุ่ย เนื่องมาจากน้ำมาคั่งใต้ผิวค่ะ
ดื่มน้ำเยอะๆ การดื่มน้ำมีผลดีต่อผิวรอบๆ ดวงตา เพราะมีน้ำหล่อเลี้ยงทำให้ผิวใต้ตาดูเปล่งปลั่ง และยังช่วยชะลอความเหี่ยวย่นของผิวที่บอบบางได้
นอนหลับอย่างเพียงพอ การนอนหลับตามไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ ที่นอนดึกตื่นเช้านั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ทางที่ดีควรนอนอย่างน้อยให้ได้ประมาณ 8 ชั่วโมง

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.ladytips.com และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2906&sub_id=85&ref_main_id=1

มารู้วิธีลดริ้วรอย ที่คุณคาดไม่ถึงกัน

108health_2875

มารู้วิธีลดริ้วรอย ที่คุณคาดไม่ถึงกัน

“ริ้วรอย” คำที่คุณผู้หญิงไม่ค่อยชอบนัก ยิ่งถ้าคุณมีริ้วรอยมากจนเกินอายุจริงด้วยแล้ว อาจสร้างปัญหาให้กับ

คุณตามมา ต่อให้คุณใช้ครีมบำรุงราคาแพง แต่ใช้แล้วริ้วรอยก็ไม่หายไปเสียที แบบนี้คุณผู้หญิงยิ่งต้องเครียดมากขึ้นแน่นอน ริ้วรอยเกิดขึ้นได้ถ้าเราไม่ระวังกับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ ยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจกับใบหน้า หรือไม่สังเกตุริ้วรอยเล็กๆ ที่กำลังมาปัญหาก็ตามมาแน่นอน งั้นเราลองไปเรียนรู้วิธีการดูแล และป้องกันริ้วรอย กับการใช้ชีวิตประจำวันของคุณสาวๆ กันค่ะ

Kakalala-2437073(1)

การนอนหงาย
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การนอนในท่าใดท่าหนึ่งเพียงท่าเดียวทุกๆ คืนจะทำให้หน้ายับ ก่อนจะกลายเป็นริ้วรอยที่เห็นได้ชัดบนผิวหน้า และไม่เลือนหายไปแม้ว่าคุณจะลุกขึ้นมาแล้วก็ตาม โดยการนอน
ตะแคงข้างจะเพิ่มริ้วรอยที่แก้มและคาง ขณะที่การนอนคว่ำจะทำให้เกิดรอยย่นบนหน้าผาก ฉะนั้นเพื่อลดการก่อตัวของริ้วรอยแนะนำให้สาวๆ เปลี่ยนมานอนหงายแทน แม้ว่าอาจจะไม่ชินในช่วงแรก และเผลอพลิก
ไปนอนในท่าที่เคยชินตอนหลับไปแล้ว แต่ก็ยังดีกว่านอนตะแคง หรือนอนคว่ำอย่างเดียวโดยไม่เปลี่ยนท่าเลยตลอดคืนน่ะค่ะ

รับประทานปลาให้มากขึ้น
อันนี้ฝรั่งเขาแนะนำให้รับประทานปลาแซลมอน ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่ดีต่อผิว เพราะว่ามีส่วนประกอบของกรดไขมันจำเป็นที่ชื่อว่ากรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งทำให้ผิวหนัง
ชุ่มชื้น ยืดหยุ่น เด้งดึ๋ง และดูอ่อนเยาว์ รวมถึงช่วยลดเลือนริ้วรอยด้วย แต่สำหรับคนไทยอาจจะหันมารับประทานปลาสวาย ปลาไทยๆ ราคาไม่แพง แต่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ไม่แพ้ปลาชนิดไหนในโลก
แทนก็ได้ ไม่ต้องรับประทานปลาแซลมอนให้เปลืองสตางค์

เลิกหยีตา แล้วหาแว่นมาใส่ด่วน
สมาคมแพทย์ผิวหนังอเมริกันแนะนำว่า การขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าซ้ำๆ อย่างเช่นการหยีตา จะทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าต้องทำงานหนักเกินไป และทำให้เกิดร่องลึกที่ชั้นใต้ผิวหนัง ซึ่งร่องลึกเหล่านี้จะพัฒนาไปเป็นริ้วรอยอย่างถาวร ฉะนั้นทำตาโตๆ กันเข้าไว้ โดยการใส่แว่นสำหรับอ่านหนังสือ (ถ้าจำเป็นต้องใช้ เพราะสายตาสั้น) รวมถึงควรใส่แว่นกันแดดเพื่อปกป้องผิวหนังรอบๆ ดวงตาไม่ให้ถูกแสงแดดทำร้าย และเพื่อคุณจะได้ไม่ต้องหยีตาหลบแดดอีกด้วย

ผิวสวยด้วยกรดผลไม้
เพราะกรดผลไม้ช่วยลอกเซลล์ของชั้นผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไป จึงช่วยลดเลือนริ้วรอยจางๆ และริ้วรอยลึกๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งริ้วรอยรอบๆ ดวงตา โดยมีหลักฐานชิ้นใหม่แสดงว่า กรดผลไม้ที่มีความ
เข้มข้นสูง จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย

เปลี่ยนจากกาแฟมาเป็นโกโก้
ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี 2006 ใน the Journal of Nutrition รายงานว่า โกโก้มีสารประกอบ flavonol 2 ชนิด คือ เอพิคาเตซิน และคาเตซิน ซึ่งช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของแสงแดด ทำให้การหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่เซลล์ผิวหนังได้เร็วขึ้น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่มเนียนมากขึ้น

อย่าล้างหน้าบ่อยเกินไป
แพทย์ผิวหนังบอกว่า น้ำประปาจะรบกวนน้ำมันที่ผิวหนังสร้างขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปกป้องผิวไม่ให้เกิดริ้วรอย ดังนั้นการล้างหน้าบ่อยๆ จะล้างสิ่งที่ปกป้องผิวหนังออกไป เว้นแต่ว่าสบู่ที่คุณใช้จะมีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ที่ช่วยปกป้องผิว จึงขอแนะนำให้ใช้เคลนเซอร์ล้างหน้าแทนสบู่

ใช้วิตามินซีชนิดทา
ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tulane และผลการศึกษาจากที่อื่นพบว่า วิตามินซีสมารถเพิ่มการผลิตคอลลาเจน ช่วยปกป้องผิวจากการทำร้ายของรังสียูวีเอและยูวีบี ทำให้ปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอลดลง รวมถึงทำให้ภาวะผิวหนังอักเสบมีอาการดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิตามินซีที่ใช้ด้วย ปัจจุบันผลการวิจัยส่วนมากพบว่า กรดแอล-เอสคอร์บิก สามารถลดริ้วรอยได้มากที่สุด

กินถั่วเหลืองมากขึ้น
ผลการวิจัยแสดงว่า ถั่วเหลืองอาจจะช่วยปกป้องหรือเยียวยาผิวที่ถูกแสงแดดทำร้ายได้ โดยผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ใน The European Journal of Nutrition รายงานว่าอาหารเสริมที่มีถั่วเหลืองเป็นส่วนประกอบพื้นฐานชนิดหนึ่ง ซึ่งมีวิตามินต่างๆ โปรตีนจากปลา และสารสกัดจากชาขาว เมล็ดองุ่น และมะเขือเทศเป็นส่วนประกอบด้วย ช่วยทำให้โครงสร้างของผิวดีขึ้นภายใน 6 เดือน

ดูแลผิวด้วยวิธีการที่ถูกต้อง
ถ้าคุณต้องการรักษาผิวให้ดูอ่อนเยาว์ ควรเริ่มต้นการดูแลอย่างถูกต้อง ด้วยวิธีที่คุณอาจจะเคยได้ยินซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ไม่เคยทำเลย ดังนี้
หลีกเลี่ยงแสงแดด
ทาครีมกันแดด
ไม่สูบบุหรี่
บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอไรเซอร์

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.healthtoday.net และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2875&sub_id=85&ref_main_id=1

สุขภาพผู้หญิงใช้แป้งฝุ่นที่จุดซ่อนเร้น เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่

108health_3512

สุขภาพผู้หญิงใช้แป้งฝุ่นที่จุดซ่อนเร้น เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่

สุขภาพผู้หญิงแป้งฝุ่นหอมที่นิยมนำมาทาตัวเด็กและผู้ใหญ่หลายคนก็นิยมใช้กันกับจุดซ่อนเร้นนั้น อาจทำให้ผู้หญิงที่ใช้นั้นมีความเสี่ยงให้เกิดเป็นมะเร็งรังไข่มากขึ้น

สำนักข่าวเดอะการ์เดียนรายงานเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมาว่า การศึกษาที่นำเอาผลการวิจัยจากการศึกษาอื่นๆ 8 ชิ้นมารวมกัน และศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้หญิงราว 2,000 คนนั้นพบว่า ผู้หญิงที่ใช้แป้งฝุ่นที่มีส่วนผสมของทัล์ค เพื่อรักษาสุขอนามัยของจุดซ่อนเร้นนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งรังไข่มากถึง 20-30%

แป้งฝุ่นที่มีสารทัล์คทำมาจากการบดแร่ธาตุทัล์ค ให้เป็นผงละเอียด ซึ่งทัล์คนั้นมีส่วนประกอบเป็นแมกนีเซียมและซิลิกอน โดยเมื่อก่อนนี้แป้งฝุ่นมีส่วนผสมของแร่ใยหินซึ่งเป็นสารที่ก่อมะเร็งอยู่ด้วย โดยแร่ใยหินขนาดเล็กมาก แต่ใช้เวลานานกว่าจะสลายตัว

คุณสมบัติของแป้งฝุ่นที่เบาบางนั้นทำให้แป้งปลิวไปได้หลายที่เช่นเข้าไปในลมหายใจเวลาเราสูดอากาศ หรือว่าเข้าไปทางช่องคลอด ผ่านมดลูกและไปสะสมอยู่ที่รังไข่ได้

การศึกษาชิ้นล่าสุดนั้นสอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ในปี 2003 ที่ระบุว่า ผู้หญิงที่ใช้แป้งฝุ่นมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่มากขึ้น 30% และหน่วยงานวิจัยมะเร็งนานาชาติซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การอนามัยโลกได้ประเมินให้แป้งฝุ่นมีแนวโน้มที่จะเป็นสารก่อมะเร็ง อย่างไรก็ตาม สถิตินี้ยังไม่น่าตกใจเนื่องจากผู้หญิงทั่วไปมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่เพียง 2% เท่านั้น

แต่อย่างไรซะเราก็ไม่ควรมองข้ามกับเรื่องเล่านี้ คุณควรดูแลสุขภาพรวมกระทั่งจุดซ่อนเร้นของคุณให้สะอาดและปลอดภัยเสมอคะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : http://www.sanook.com และ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=3512&sub_id=103&ref_main_id=2

วิตามินที่กินแล้วอกโตมีจริงหรือเปล่า ?

108health_2513

วิตามินที่กินแล้วอกโตมีจริงหรือเปล่า ? คงเป็นคำถามที่หลายๆท่านสงสัยกัน เรามาดูกันว่าสารอาหาร วิตามินชนิดใดบ้างจะช่วยบำรุงผิวพรรณ และสุขภาพทรวงอกของท่านได้…
ในยุคปัจจุบัน พัฒนาการด้านการแพทย์ของมนุษย์เรานั้นก้าวไกลยิ่งนัก ทั้งในด้านการรักษาโรคต่างๆ รวมไปถึงพัฒนาการด้านการศัลยกรรม และหนึ่งในนั้นก็คือศัลยกรรมทรวงอก ซึ่งก็นิยมแพร่หลายกันมากขึ้นเรื่อยๆ และก็มียาประเภทที่ว่า

วิตามินที่กินแล้วอกโตออกมาขายกันอย่างแพร่หลายตามท้องตลาด ซึ่งเป็นอีกทางเลือกของสาวๆที่ไม่อยากผ่าตัด เรามาดูกันว่าสารอาหารที่จะช่วยพัฒนาทรวงอกนั้นมีอะไรบ้าง…

วิตามินอี – Vitamin E

วิตามิน อี เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการในทุกส่วน วิตามินอีจะมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูประสิทธิภาพของส่วนต่างๆในร่างกาย รวมไปถึงสมองที่จะเสริมสร้างสุขภาพของหน้าอกของท่านให้เต่งตึงอีกด้วย และยังช่วยให้ผิวพรรณของท่านดูสดใสอีกด้วย วิตามินอีพบมากในน้ำมันจากธัญพืชและถั่วเปลือกแข็ง

วิตามินเอ – Vitamin A

วิตามิน เอ เป็นสิ่งที่ช่วยฟื้นฟูส่วนต่างๆในร่างกายคล้ายวิตามินอี และจะมาช่วยฟื้นฟูชั้นไขมันในหน้าอกไม่ให้เสื่อมสภาพเร็ว และยังรักษาความหนาแน่นของผิวพรรณรวมไปถึงชั้นหน้าอกของท่าน ให้เต่งตึงนานขึ้นอีกด้วย วิตามินเอพบมากในผักที่มีสีสดใสเช่น แครอท ผักโขม และพบมากในน้ำมันตับปลาอีกด้วย

วิตามินซี – Vitamin C

วิตามิน ซี ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณ มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ผิวหนังใหม่ที่ดีขึ้น รวมไปถึงสารอาหารพวกคอลลาเจน ก็มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณในทุกๆส่วนของร่างกาย และยังช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งอีกด้วย วิตามินซีพบมากในผักประเภทกะหล่ำ (ยังไม่แปรรูปเป็นของดอง) และผลไม้เช่นส้ม ฝรั่ง รวมไปถึงมะนาวเป็นต้น

วิตามิน B6

วิตามิน B6 เป็นวิตามินที่มีประโยชน์กับระบบไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงอีกด้วย การไหลเวียนของเม็ดเลือดแดงที่ดี ก็จะช่วยให้ส่วนต่างๆในร่างกายของท่าน เปล่งปลั่งสดชื่นมากขึ้น วิตามิน B6พบในมากในถั่ว มันฝรั่ง และกล้วย

การ ได้รับวิตามินต่างๆในปริมาณที่พอเหมาะจะเกิดผลดีกับร่างกายมาก แต่ถ้าหากได้รับวิตามินมากเกินไปก็จะส่งผลร้ายในอนาคตได้เช่นกัน การเลือกรับประทานยาต่างๆที่อ้างสรรพคุณว่า รับประทานแล้วหน้าอกโต หน้าอกตึงนั้นควรพิจารนาให้ดี ควรอ่านฉลากยา ดูใบอนุญาตและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด

สอบถามข้อสงสัยเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา http://www.fda.moph.go.th โทร 0-2590-7000

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก : http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=2513&sub_id=103&ref_main_id=2
แหล่งข้อมูล: ezinearticles.com, wikipedia, breastnexus.com

สารระน่ารู้กับโรงพยาบาลธนบุรี การตรวจภายในสำคัญอย่างไร

108health_3480

การตรวจภายในคืออะไร
การตรวจอวัยวะในอุ้งเชิงกรานของสตรีทั้งภายนอกและภานในได้แก่ อวัยวะเพศภายนอก,ช่องคลอด, ปากมดลูก, มดลูก, ปีกมดลูก, รังไข่ และเนื้อเยื่อที่อยู่รอบๆ อวัยวะดังกล่าว
การตรวจภายในสำคัญอย่างไร
เพื่อตรวจค้นหาและคัดกรองความผิดปกติ ทั้งที่มีและไม่มีอาการแสดง เมื่อพบโรคแล้ว จะได้รับการรักษา, ป้องกันการลุกลามของโรคและติดตามอาการอย่างเหมาะสม
เพื่อวินิจฉัยแยกโรคจากระบบอื่นๆ เช่น ระบบทางเดินอาหาร, ระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นต้น
* โรคบางโรคเมื่อเกิดขึ้นแล้วไม่มีอาการแสดงให้ทราบก่อนได้ นอกจากต้องตรวจภายใน เช่น ก้อนเนื้องอกที่มดลูก มะเร็งปากมดลูกในระยะแรก เป็นต้น

อาการใดบ้างที่เราควรมาตรวจภายใน
เลือดออกผิดปกติ เช่น ออกกะปริบกะปรอย, ปริมาณมาก มีลิ่มเลือดปน, ระดูมานานกว่า 7 วัน ระยะรอบประจำเดือน มาห่างน้อยกว่า 21 วัน หรือมากกว่า 35 วัน, เลือดออก
ตกขาว มีปริมาณมากขึ้น สีเปลี่ยนไป เช่น สีเขียว, สีเหลือง มีกลิ่นแรงขึ้น ลักษณะเปลี่ยน ไปเป็นลักษณะมูกสีขาวข้นคล้ายแป้ง
ปวดท้องน้อย ทั้งที่สัมพันธ์กับช่วงมีระดูหรือไม่มีระดู, ปวดหน่วงท้องน้อย
พบผื่น, ติ่งเนื้อที่อวัยวะเพศภายนอก, แสบขัดในช่องคลอด
คลำพบก้อนที่ท้องน้อย

Women-go-to-the-doctor

เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อใด
เราควรเริ่มตรวจภายในเมื่อมีอาการผิดปกติต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตามและร่วมกับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
เริ่มตรวจได้ตั้งแต่อายุ 21 ปี หรือมีเพศสัมพันธ์แล้วอย่างน้อย 3 ปี
สามารถหยุดตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ เมื่ออายุ 65-70 ปี โดยที่ผลการตรวจคัดกรองปกติ 3 ครั้ง ใน 10 ปี ก่อนหยุดตรวจ
ผู้หญิงที่ผ่าตัดเอามดลูกออกแล้ว ร่วมกับมีผลการตรวจก่อนหน้าปกติ
ผู้หญิงที่เคยตรวจพบความผิดปกติแล้ว ควรตรวจสม่ำเสมอ
ผู้ที่ได้รับ HPV vaccine แล้วยังคงต้องตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอ เช่นเดียวกับ ผู้ที่ไม่ได้รับ vaccine
การตรวจภายในนั้น ควรตรวจทุก 1 ปี ส่วนการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกนั้น อาจตรวจได้ทุก 3 ปี
การตรวจภายใน มีการตรวจอะไรบ้าง
การดูและคลำอวัยวะภายนอกและภายในอุ้งเชิงกราน
การคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ซึ่งมีหลายวิธี Pap smear, Liquid base cytology, HPV test ปัจจุบันวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจพบความผิดปกติที่ดีที่สุด คือการตรวจ Pap smear หรือ Liquid base cytology ร่วมกับ HPV test
การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยการอัลตราซาวน์ช่องท้องด้านล่าง เป็นต้น

คุณหมอ 01

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=3480&sub_id=103&ref_main_id=2